เล่าเรื่อง พลังจักรวาล ในแบบฉบับ พระพุทธเจ้า

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin
Share on email

ทฤษฏี New thought เช่น กฏแห่งแรงดึงดูด พลังจิตใต้สำนึก และพลังจักรวาล ฯลฯ มีเรื่องราวโดยสังเขป คือ กฏเหล่านี้มีความเป็นไปในขอบเขต คิด ขอ เชื่อ รับ ตามตำหรับ The Secret ที่ทุกคนคุ้นเคย
กฏแห่งแรงดึงดูด กล่าวว่า สรรพสิ่งเป็นธาตุ เป็นพลังงาน ประกอบไปด้วยคลื่นความถี่ และแรงสั่นสะเทือนต่าง ๆ อันประกอบขึ้นเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง สิ่งที่เราคิดไว้ในหัว เรียกว่า Creative visualization และการปรากฏของสิ่งที่คิดในโลกฟิสิกคัล เรียกว่า Manifestation ตรงนี้ใครเคยร่ำเรียนมาคงคุ้น 3 – 4 คำนี้เป็นอย่างดี

เมื่อมาประกอบอย่างเหมาะเจาะจะเกิดปรากฏเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากได้ในโลกใบนี้ อุปมาอุปมัย วันนี้แม้คุณจะไม่มีเงินทองมากมายนัก แต่อยากเป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่ก็เป็นได้สักวันหนึ่ง

เพราะสิ่งที่คุณคิดไว้ในใจได้สำเร็จผลแล้วใน Time and Space ณ ที่ใดที่หนึ่งในจักรวาล โดยต้องอาศัยพาหนะอีกตัว คือ ร่างกาย นี้ลงมือกระทำให้สำเร็จผล

อาจฟังดูแฟนตาซีใช่หรือไม่?

เช่นนั้นเราลองไปดูเรื่องเล่าในทางธรรม เล่าไว้ใน พระสุตตันตปิฎก หมวด ปิยวรรค สมัยพุทธกาล พระโมคัลลานะ อัครสาวกผู้เป็นเอกด้านมีฤทธิ์ ได้ใช้ฤทธิ์แห่งฌานไปยังภพดาวดึงส์ แลเห็นปราสาทงดงามสะดุดตา มีขนาดใหญ่โต ประดับประดาด้วยของมีค่าจนระยิบระยับสะดุดตามาก จึงถามนางเทพธิดาว่า ปราสาทอันว่างเปล่านี้เป็นของใคร

นางเทพธิดาตอบพระโมคคัลลานะว่า “…ปราสาทนี้เกิดปรากฏขึ้นเพื่อรอการมาของ นันทิยมาณพ บัดนี้ ท่านนันทิยะ ยังไม่ละอัตภาพความเป็นมนุษย์…“

นางเทพธิดาเผยต่อไปว่า “…นันทิยมาณพ ได้สร้างศาลาจัตุรมุขมี 4 ห้อง ถวายแด่พระบรมพระศาสดาของท่าน เมื่อหลั่งน้ำทักษิโณทก ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของพระบรมศาสดา ในกาลนั้น ปราสาทอันวิจิตรนี้ก็บังเกิดขึ้น ณ ดาวดึงส์ โดยพลัน…”

เมื่อเล่าถึงจุดนี้ ผู้อ่านอาจจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่อง Time and space ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกันบ้างแล้ว เพราะสิ่งที่มนุษย์คิด พูด และกระทำลงไป ผลของสิ่งเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในห้วงกาลเวลาและจักรวาล ณ ที่ใดที่หนึ่งเพื่อรอการสนองผล หรือ ภาษาธรรมะเรียกว่า วิบาก ๆ นั่นเอง

ดังนั้น กรรม ที่ทำไปแล้วไม่ได้หายไปไหน แค่รอส่งผล การส่งผลก็คือสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า Manifestation แต่สิ่งที่ฝรั่งอาจจะยังอธิบายได้ไม่ลึกซึ้งมากนัก คือ เรื่องกรรม

พระพุทธเจ้า ตรัสเรื่องกรรมไว้อย่างไร?

พระพุทธเจ้าตรัสไว้เรียบง่าย…

  • “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม… เพราะว่าบุคคลมีเจตนา จึงมี กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
  • ภิกษุทั้งหลาย เหตุเป็นแดนเกิดพร้อมของกรรม คือ ผัสสะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
  • ความมีประมาณแห่งกรรมทั้งหลาย ได้แก่ การเสวยผลในนรก, ในกำเนิดเดรัจฉาน, เปรตวิสัย, มนุษย์โลก, และเทวโลก มีอยู่
  • ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าวิบากแห่งกรรมทั้งหลายมีอยู่ 3 อย่าง คือ (วิบาก) ทันที, ในเวลาต่อมา, และในเวลาต่อมาอีก

ลำดับต่อมา พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความดับไม่เหลือแห่งกรรม แต่ก่อนจะไปตรงนั้นจะขอแทรกเรื่องการเกิดของภพ
โดย ท่าน รับรองว่า กรรมที่มีกำลังมาก มีอานุภาพมาก คือ มโนกรรม หรือ ความคิด

เมื่อเราคิดถึงสิ่งใด วิญญาณนั้นจะเข้าไปตั้งอยู่ ภพใหม่เกิดขึ้นแล้ว

ภพ คือ โลกอันเป็นที่ตั้งอาศัยของวิญญาณ หรือธาตุรู้ ตรงนี้เองที่ฝรั่งไม่รู้จะเรียกว่าอะไร จึงเรียกว่า ความปรารถนาในความคิดของคุณปรากฏแล้วใน Universe นั่นเอง

ณ จุดนี้ถือว่า กรรมขั้นต้นสำเร็จแล้ว และเมื่อนำกรรมทางความคิดออกไปลงมือกระทำ ชาติ จึงเกิดตามมา
ชาติ คือ การเกิดขึ้นของกองแห่งนามรูปในโลกที่คุณสร้างขึ้น เมื่อสำเร็จบริบูรณ์ ฝรั่งเรียก Manifestation หรือ ก่อร่างสร้างตัวตนเป็นดอกผลนั่นเอง

ดังนี้แล้ว… มโนกรรม หรือ สิ่งที่เจตนากระทำไว้ในใจ ย่อมถือว่าสำเร็จแล้วใน Time and space

อยากได้รถสปอร์ตสีแดง รถสปอร์ตสีแดงเกิดขึ้นแล้ว อยากได้บ้านริมทะเล บ้านริมทะเลเกิดขึ้นแล้ว แต่มันแค่ยังตั้งอยู่ในห้วง Time and space เท่านั้น เหลือแค่เหตุปัจจัยอื่น ๆ มาประกอบกันให้เป็นผลสัมฤทธิ์

กรณีตัวอย่าง ลิซ่า แบล็กพิงค์

ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า แบล็กพิงค์ สาวไทยจาก จังหวัด บุรีรัมย์ จากบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ เผยว่าตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เธอมีเป้าหมายและใจดวงเดียว คือ เป็นนักร้องเคป็อป ทวนอีกครั้งไม่ใช่แค่นักร้องธรรมดา หรือนักร้องอะไรก็ได้ แต่ต้อง ‘นักร้องเคป็อป’ เท่านั้น

Visualization ของเธอชัดเจนมาก แล้วก็สร้างเหตุปัจจัยรอไว้ จนกระทั่งค่าย YG Entertainment มาออดิชันที่เมืองไทย ลิซ่า เป็นคนไทยเพียงคนเดียวเท่านั้นในผู้แข่งขัน 4 พัน ที่ได้ไปเป็น เทรนนีที่เกาหลี และกลายเป็น Lisa BlackPink ที่ดังระดับโลกในปัจจุบันด้วยอายุเพียง 24 ปี

สรุป

มโนกรรม หรือ กรรมทางความคิดมีกำลังมากที่สุด เพียงแค่คิด กรรมก็เกิด เพียงแค่คิด ภพใหม่ก็เกิด ถ้าคิดไม่ดี ก็จะดึงดูดสิ่งไม่ดี ถ้าคิดดี ก็จะดึงดูดสิ่งดี ๆ

นอกจากนั้น เมื่อมีคนบอกว่า มีใครแก้กรรมได้ ตัดกรรมได้ เปลี่ยนกรรมได้ ฯลฯ นั้น พระอาจารย์ที่ซื่อสัตย์ในพระธรรมวินัยจะบอกว่า ไม่จริง เหล่านั้นเป็นเดรัจฉานวิชชา

การแก้กรรม ตัดกรรม เปลี่ยนกรรม หยุดกรรม ฯลฯ ทำได้โดย เปลี่ยนวิถีของผัสสะ ออกจากอกุศล และเข้าสู่กุศล เข้าสู่กุศลนั้นเป็นไฉน

  • กุศลนั้น คือ อริยอัฏฐังคิกมรรค หรือ การเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘
  • ถ้าย่อให้สั้นเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
  • ถ้าย่อเหลือ ๒ คือ สมถ และ วิปัสสนา

มีสั้นกว่านี้หรือไม่?… มี! ถ้าจำไม่ได้จริง ๆ พระพุทธเจ้าใจดีให้เหลือ ๑ ‘อานาปานสติ’

อานาปานสติ ตัวเดียวดับกรรมทั้งหมด รีเซ็ตจิตใจกันใหม่ และส่งผลแบบทันที และต่อให้ที่สุดแล้วยังมีใครบอกว่านั่งสมาธิ 20 – 30 นาที ก็ยังขี้เกียจจะนั่ง ทำอย่างไร?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

“…ผู้เจริญอานาปานสติ แม้ชั่วกาลแห่งลัดนิ้วมือ เธอขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ไม่เหินห่างจากฌาน…”

กล่าวคือ 20 – 30 นาที ก็ยังไม่อยากฝึกสมาธิ อย่างน้อยที่สุดขอเพียงนาทีเดียวที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิก็นับว่าเป็นกุศลแล้ว

Share on facebook
Share on twitter
Share on linkedin
Share on email